วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Workforce Scorecard

    เพิ่งไปซื้อหนังสือใหม่เล่มหนึ่งจากศูนย์หนังสือจุฬาฯ ชื่อ Workforce Scorecard เขียนโดย Mark Huselid, Brian Becker, และ Richard Beatty ซึ่งสองคนแรกเป็นทีมที่เขียนหนังสือ HR Scorecard ที่โด่งดังในแวดวงด้านการบริหารงานบุคคลเมื่อสองสามปีที่ผ่านมา                 สาเหตุที่หยิบยกเนื้อหาในหนังสือมาเขียนถึงในสัปดาห์นี้ เนื่องจากในปัจจุบันกระแสแนวโน้มเกี่ยวกับการวัดและประเมินผลการดำเนินงานอย่างหนึ่งก็คือ ความพยายามขององค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ที่จะพัฒนาระบบในการประเมินผลรายบุคคลขึ้นมา ซึ่งก็แตกต่างกันออกไปนะครับ บางแห่งก็เรียก Personal Scorecard หรือ Inidividual Scorecard หรือ ตัวชี้วัดระดับบุคคล                 เข้าใจว่าสาเหตุความตื่นตัวในการกำหนดตัวชี้วัดระดับบุคคล ก็คงจะหนีไม่พ้นความต้องการของผู้บริหารองค์กรต่างๆ (ทั้งภาครัฐและเอกชน) ในการทำให้มีเครื่องมือหรือระบบในการวัดประเมินผลการดำเนินของบุคลากรในแต่ละคนได้อย่างชัดเจน เพื่อที่จะได้นำไปเชื่อมโยงกับระบบในการประเมินผลและจูงใจพนักงาน                 จากการสังเกตของผมอาจจะกล่าวได้ว่ากระแสความตื่นตัวดังกล่าว ได้กระจายไปในหน่วยงานภาครัฐมากกว่าของเอกชนด้วยซ้ำไป ทั้งนี้อาจจะเนื่องจากกฎ ระเบียบใหม่ๆ ของรัฐบาลที่ให้หน่วยราชการมีการประเมินผล รวมไปถึงการเชื่อมโยงกับแรงจูงใจและโบนัสต่างๆ (ตอนนี้หน่วยราชการส่วนใหญ่กำลังปวดหัวว่าจะจัดสรรเงินจูงใจที่ได้รับมาอย่างไร) และแนวโน้มก็คิดว่าจะมีความตื่นตัวเพิ่มมากขึ้นในภาครัฐภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ส่วนในภาคเอกชนนั้นดูเหมือนยังกลัวๆ กล้าๆ อยู่ ซึ่งอาจจะเนื่องจากในการทำงานในหลายๆ องค์กรนั้นยากที่จะวัดผลการทำงานออกมาเป็นรายบุคคลได้ จะต้องพิจารณาเป็นกลุ่มหรือทีมงานเป็นหลัก                 โดยปกติเวลาจัดทำระบบในการประเมินผลระดับพนักงาน องค์กรส่วนใหญ่ก็จะใช้แนวคิดของ Balanced Scorecard บ้าง หรือ แนวคิดของ Management by Objective บ้าง หรือ แม้กระทั่งการจัดทำตัวชี้วัดระดับบุคคลธรรมดา บ้าง แล้วแต่ความถนัดของแต่ละองค์กร แต่ในหนังสือ Workforce Scorecard เขาเสนอแนะอีกทางเลือกหนึ่งครับ แล้วเรียกว่าเป็น Workforce Scorecard                 ซึ่งโดยหลักการแล้ว เขาก็ยึดตัว Balanced Scorecard เป็นเครื่องมือหลักในการแปลงกลยุทธ์สู่การปฏิบัติ พร้อมทั้งการจัดทำระบบการประเมินผลในระดับองค์กรและหน่วยงาน แต่พอมาถึงระดับพนักงาน หนังสือเล่มนี้เขาเสนออีกแนวคิดหนึ่งครับ ซึ่งเท่าที่ได้อ่านดูก็น่าสนใจทีเดียว และน่าจะสามารถนำไปปรับใช้ได้                 แรกเริ่มสุดหนังสือเล่มนี้เขาพยายามที่จะชี้ให้เห็นว่าบุคลากรในองค์กร (หรือที่เขาใช้ว่า Workforce) สามารถเป็นแหล่งที่สำคัญที่ก่อให้เกิดคุณค่าทางกลยุทธ์ (Strategic Value) ได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดในเรื่องของความแตกต่าง (Differentiation) ระหว่างบุคลากรในองค์กร ซึ่งแนวคิดดังกล่าวเราอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้าง                 เขาจะมีการแบ่งตำแหน่งต่างๆ ออกเป็นระดับ ได้แก่ ระดับ A, B, C (หรือ A, B, C Position) ซึ่งระดับที่แตกต่างกันดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของตำแหน่งบางตำแหน่ง ที่มีเหนือกว่าตำแหน่งอื่นในการทำให้กลยุทธ์เกิดความสำเร็จ นอกจากนั้นเขายังแบ่งบุคลากรออกเป็นระดับ A, B, C เช่นกัน (หรือ A, B, C Players) ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงาน และโอกาสในเติบโตของบุคลากรแต่ละคน (แนวคิดดังกล่าวใช้กันแพร่หลายในองค์กรหลายแห่งของอเมริกา เช่น ที่จีอี และในเมืองไทยก็เคยมีความพยายามที่จะใช้ในวงการราชการเมื่อปีที่ผ่านมาแต่ไม่สำเร็จ ซึ่งข้าราชการส่วนใหญ่จะรู้จักกันดีในชื่อของมาตรการ 3)                 ถ้าองค์กรสามารถที่จะแบ่งตำแหน่งและพนักงานออกเป็นระดับต่างๆ ได้ เขาก็ถือว่าจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลได้เป็นอย่างดี และการออกแบบ Workforce Scorecard ก็จะต้องเป็นไปเพื่อสนับสนุนต่อการสร้างความแตกต่างในบุคลากรขององค์กร                 ทีนี้เรามาดูองค์ประกอบของ Workforce Scorecard บ้างนะครับว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้าง หลักการจริงๆ ก็ไม่ต่างจาก Balanced Scorecard และ Strategy Map เท่าใด โดยเขาจะเริ่มต้นที่ผลลัพธ์ที่ต้องการบรรลุเป็นจุดเริ่มต้น จากนั้นจึงจะหาเหตุว่า อะไรคือสาเหตุสำคัญที่จะช่วยนำไปสู่ผลลัพธ์ดังกล่าว                 สำหรับบุคลากรแต่ละคนแล้ว ผลลัพธ์ที่สำคัญในการทำงานก็คือ ความสำเร็จในการทำงานของบุคลากรแต่ละคน หรือ Workforce Success ซึ่งจะเป็นการพิจารณาว่าบุคลากรสามารถทำงานได้ประสบความสำเร็จ บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการหรือไม่?                 เมื่อสามารถหาความสำเร็จในการทำงานของบุคลากรได้แล้ว ขั้นต่อมาก็หาสาเหตุว่า อะไรคือสิ่งที่นำไปสู่ความสำเร็จในการทำงาน                 ซึ่งก็ระบุออกมาว่า เป็นพฤติกรรมของผู้นำและบุคลากร หรือ Leadership and Workforce Behaviors โดยจะมีคำถามที่สำคัญว่า บุคลากรได้ประพฤติ ปฏิบัติในทางที่เหมาะสมที่จะช่วยนำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์ในการทำงานหรือไม่?                 โดยสาเหตุที่มีประเด็นนี้ขึ้นมาก็เนื่องจากว่า อาจจะมีบุคลากรจำนวนมากที่มีความรู้ ความสามารถ แต่พฤติกรรมที่แสดงออกนั้นไม่ได้สนับสนุนหรือเอื้อต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ในการทำงาน                 องค์ประกอบประการที่สามของ Workforce Scorecard ก็คือ สมรรถนะ ทักษะ ความสามารถ ของบุคลากร หรือ Workforce Competencies นั้นเอง โดยจะมีประเด็นคำถามที่สำคัญว่าบุคลากร (โดยเฉพาะพวกที่อยู่ในตำแหน่ง A) มีทักษะ ความรู้ ความสามารถ บุคลิกภาพ ที่เหมาะสมและเพียงพอต่อการปฏิบัติตามกลยุทธ์และช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการทำงานหรือไม่?                 และประเด็นสุดท้ายก็คือ ทัศนคติและวัฒนธรรมในการทำงาน หรือ Workforce Mind-Set and Culture โดยมีประเด็นคำถามสำคัญว่าบุคลากรมีความเข้าใจและยอมรับต่อกลยุทธ์และการดำเนินงานขององค์กรหรือไม่? พร้อมทั้งตัวองค์กรเองมีวัฒนธรรมองค์กรที่เหมาะสมและสนับสนุนต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการหรือไม่?                 ภายใต้ประเด็นหรือองค์ประกอบแต่ละประเด็น ก็ได้มีการยกตัวอย่างของตัวชี้วัดออกมา ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความสำเร็จ พฤติกรรม ความสามารถ หรือ ทัศนคติ ก็เรียกได้ว่าในแต่ละประเด็นมีตัวชี้วัดไม่ต่ำกว่า 2-30 ประการให้ได้เลือกใช้กันเลยครับ                 ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะมองว่าองค์ประกอบของ Workforce Scorecard ทั้งสี่ประการ ไม่ได้มีสิ่งใดใหม่ เป็นสิ่งที่เราพบได้อยู่แล้ว และเผลอๆ ใน Balanced Scorecard ของหลายๆ องค์กร ก็มีปัจจัยทั้งสี่ประการเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอยู่แล้ว ซึ่งผมก็เห็นด้วยนะครับ เนื่องจากสิ่งที่เขานำเสนอนั้นเป็นสิ่งที่เรารู้กันอยู่แล้ว เพียงแต่เขานำมาจัดรูปแบบการนำเสนอและเรียกชื่อใหม่ ในรูปแบบที่เราอาจจะไม่เคยคิดมาก่อนเท่านั้นเอง ท่านผู้อ่านที่สนใจก็ลองศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมดูนะครับ ว่าจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับองค์กรของท่านได้อย่างไร      แหล่งข้อมูล: หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

อยู่ที่มุมมอง

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ในทุกเรื่องที่เกิดขึ้นจะมองให้ดีก็ได้ จะมองให้มีปัญหาก็ได้ ไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์ฝ่ายเดียว แต่เราเองมักจะคุ้นเคยกับการมองในทางร้าย และมักจะตอกย้ำกับความคิดเชิงร้ายๆ เหล่านั้นอยู่เรื่อยๆ อาทิเช่น การถูกผู้บังคับบัญชาตำหนิ ทั่วไปเรามักจะมองว่าเราทำผิด เราถูกกลั่นแกล้ง เจ้านายลำเอียง ฯลฯ ตลอดจนคิดอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นเวลาหลายสัปดาห์ พาลจะไปโกรธนายและเพื่อร่วมงานอีกบางคนที่ไม่ถูกนายว่า หรือหาว่าเขาไม่เข้ามาช่วยเลย หากเราเปลี่ยนวิธีคิด และมองว่าเรื่องที่ถูกตำหนินี้เรื่องอะไร ครั้งหน้าเราจะไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เราจะทำงานด้วยความระมัดระวัง และกลับไปทำงานอื่นต่อไป เราเองก็จะพัฒนาตนเองและสร้างสรรค์งานได้อีกมากมาย การฝึกสมาธิ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ในทุกเรื่องที่เกิดขึ้นจะมองให้ดีก็ได้ จะมองให้มีปัญหาก็ได้ ไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์ฝ่ายเดียว แต่เราเองมักจะคุ้นเคยกับการมองในทางร้าย และมักจะตอกย้ำกับความคิดเชิงร้ายๆ เหล่านั้นอยู่เรื่อยๆ อาทิเช่น การถูกผู้บังคับบัญชาตำหนิ ทั่วไปเรามักจะมองว่าเราทำผิด เราถูกกลั่นแกล้ง เจ้านายลำเอียง ฯลฯ ตลอดจนคิดอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นเวลาหลายสัปดาห์ พาลจะไปโกรธนายและเพื่อร่วมงานอีกบางคนที่ไม่ถูกนายว่า หรือหาว่าเขาไม่เข้ามาช่วยเลย หากเราเปลี่ยนวิธีคิด และมองว่าเรื่องที่ถูกตำหนินี้เรื่องอะไร ครั้งหน้าเราจะไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เราจะทำงานด้วยความระมัดระวัง และกลับไปทำงานอื่นต่อไป เราเองก็จะพัฒนาตนเองและสร้างสรรค์งานได้อีกมากมาย การฝึกสมาธิ หากเราจะฝึกสมาธิเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นการฝึกอานาปานสติ ด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าและออก หรือการฝึกสติรับรู้สภาวะของร่างกาย ตลอดจนการฝึกทำใจให้เป็นหนึ่งเดียวด้วยการบริกรรมคำคำใดคำหนึ่งตลอดเวลา เหล่านี้ล้วนเป็นการฝึกสมาธิทั้งสิ้น เพื่อช่วยลดความเครียดได้ โดยมีผลจากการเปลี่ยนความคิด และทำให้จิตใจสงบ เมื่อจิตใจสงบย่อมมีกำลัง แต่หากจะฝึกก็ค่อยๆ ฝึก ช่วงแรกหากมุ่งมั่นมากเกินไปก็อาจจะรู้สึกเครียดบ้าง ให้ค่อยๆ ปฏิบัติไป แล้วจะค่อยๆ ได้เอง 2. ทางกายภาพ การออกกำลังกาย พูดถึงการออกกำลังกาย ฟังดูเหมือนง่าย แต่เทคนิคที่สำคัญประกอบด้วย - การอุ่นเครื่อง หรือการออกกำลังกายขนาดต่ำๆ และการยืดกล้ามเนื้อเพื่อเตรียมตัวก่อนการออกกำลังกายจริง ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที - การออกกำลังกาย มุ่งเน้นการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ เช่น แขน ขา หน้าท้อง ใช้เวลาประมาณ 30 นาที พยายามออกกำลังกายให้ได้ประมาณ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ บางครั้งใช้อัตราการเต้นของหัวใจช่วยในการประเมินความหนักเบาในการออกกำลังกาย โดยอาจจะใช้ (220 - อายุ) x 70% นั่นคือ อายุ 40 ปี ควรออกกำลังกายให้หัวใจเต้นขณะที่ออกกำลังกายเท่ากับ (220 - 40) x 70% หรือ 126 ครั้งต่อนาที 2. ระยะผ่อนคลาย เป็นการเตรียมกล้ามเนื้อ และการปรับหัวใจก่อนที่จะพัก เพื่อลดอาการปวดกล้ามเนื้อและการเป็นตะคริว ใช้เวลาประมาณ 10 นาที โดยเป็นการออกกำลังกายเช่นเดียวกับช่วงอุ่นเครื่อง - การฝึกการหายใจ - การฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เทคนิคนี้เป็นการผสมผสานการฝึกการหายใจร่วมกับการจินตนาการ และการคลายกล้ามเนื้อ โดยเริ่มจากการอยู่ในท่าที่ผ่อนคลายที่สุด อาจจะเป็นการนอนหงาย จินตนาการว่าอยู่ในสถานที่ที่ผ่อนคลาย เช่น ชายทะเล หรือน้ำตก ฯลฯ หลังจากนั้นหายใจเข้าออกลึกๆ ช้าๆ และค่อยๆ บอกตัวเองให้มีการผ่อนคลายทีละส่วนของร่างกาย โดยเริ่มจากปลายเท้า เท้า แข้ง ต้นขา ลำตัว จนมาถึงศีรษะ พร้อมกับการหายฝจออกช้าๆ จากเทคนิคการผ่อนคลายความเครียดด้ายกายภาพ และการใช้เทคนิคทางจิตวิทยาเข้าช่วยแล้วนั้น เรายังสามารถผสมผสานเทคนิคต่างๆ เหล่านี้ไปใช้ในแต่ละสถานการณ์ได้อีกด้วย เช่น ในสำนักงาน การลดความเครียด เราอาจจะทำได้โดยการ - กระจายงาน เพราะการกระจายงานนั้นจะช่วยลดเวลาในการทำงานของคุณเองได้เป็นอย่างดี เลือกทำงานที่คุณจำเป็นต้องทำจริงๆ และแบ่งงานบางส่วนให้ผู้ร่วมงานช่วยบ้าง อย่าพยายามทำตนเป็นพระเอกแต่เพียงผู้เดียว - พยายามติดต่อประสานงานกันให้มากที่สุด งานต่างๆ จะลุล่วงโดยง่าย หากมีการติดต่อสัมพันธ์พูดคุยกันตลอดจนมีการประสานงาน แบางงานและร่วมมือกัน - การพยายามยอมรับการปรับเปลี่ยนตารางเวลาการทำงาน และควรมีเครื่องมือที่พร้อมทำงานที่บ้านได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาคุณได้อีกมากในการเดินทาง ที่สำคัญอย่างพยายามนัดให้มีนัดหมายสำคัญติดกันมากเกินไป จะมีผลต่อความเครียด และคุณจะควบคุมได้ยาก ในบ้าน การลดความเครียด เราอาจจะทำได้โดย - การสื่อสารกับคนในบ้าน ว่าคุณต้องการอะไร การสื่อสารนี้รวมทั้งครอบครัว เพื่อน ฯลฯ บอกในสิ่งที่คุณชอบและไม่ชอบ ไม่เป็นการสนุกในการที่จะเดาใจทั้งเขาและเรา และทำใจให้ยอมรับว่าการบอกนี้ไม่ใช่เพียงครั้งเดียว เพราะทั้งเขาและเราก็อาจจะลืมกันได้ - การปฏิเสธไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายที่สุด การปฏิเสธในสิ่งที่คุณไม่อยากทำหรือไม่พร้อมที่จะทำ ย่อมดีกว่าการที่คุณฝืนใจทำและทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัวในที่สุด แต่บางครั้งและบางสิ่งคุณก็ยากที่จะปฏิเสธ ชีวิตก็อย่างนี้แหละก็ต้องฝืนใจทำกันบ้าง - หาเวลาให้รางวัลกับตนเองบ้าง การหาความสนุกสนานบ้างไม่ใช่สิ่งที่ผิด เรื่องสนุกไม่ได้เหมาะกับเด็กเท่านั้น ผู้ใหญ่เองก็ต้องการความสนุกสนานเช่นกัน การทำสวนครัว การเล่นกีฬา ฯลฯ เลือกกิจกรรมที่เหมาะกับเราเอง - การหากัลยาณมิตรไว้บ้างก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยคนเราควรจะมีใครที่เราพุดคุยได้ด้วย อาจจะไม่ครบทุกเรื่อง แต่บางคนจะคุยในบางเรื่อง การมีหลายคนก็อาจจะทำให้คุณได้คุยครบทุกเรื่อง - การฝึกลมหายใจในแต่ละวัน โดยเฉพาะช่วงเช้าก่อนเข้าทำงานและตอนเย็นก่อนนอน ก็จะช่วยให้คุณคลายเครียดลงได้เยอะ และพร้อมที่จะหลับได้ง่ายขึ้น ้เราลองมาฝึกกันดู จะเลือกใช้วิธีใดก็ได้ ฝึกให้ชำนาญ และหลังจากนี้เราจะเป็นคนที่ทนต่อความเครียดได้มากกว่าปกติ และที่สำคัญคุณภาพชีวิตของเรา และผู้ใกล้ชิดเราควรจะดีขึ้น โดย นพ.พงษ์เกียรติ ประชาธำรงค์ หากเราจะฝึกสมาธิเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นการฝึกอานาปานสติ ด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าและออก หรือการฝึกสติรับรู้สภาวะของร่างกาย ตลอดจนการฝึกทำใจให้เป็นหนึ่งเดียวด้วยการบริกรรมคำคำใดคำหนึ่งตลอดเวลา เหล่านี้ล้วนเป็นการฝึกสมาธิทั้งสิ้น เพื่อช่วยลดความเครียดได้ โดยมีผลจากการเปลี่ยนความคิด และทำให้จิตใจสงบ เมื่อจิตใจสงบย่อมมีกำลัง แต่หากจะฝึกก็ค่อยๆ ฝึก ช่วงแรกหากมุ่งมั่นมากเกินไปก็อาจจะรู้สึกเครียดบ้าง ให้ค่อยๆ ปฏิบัติไป แล้วจะค่อยๆ ได้เอง 2. ทางกายภาพ การออกกำลังกาย พูดถึงการออกกำลังกาย ฟังดูเหมือนง่าย แต่เทคนิคที่สำคัญประกอบด้วย - การอุ่นเครื่อง หรือการออกกำลังกายขนาดต่ำๆ และการยืดกล้ามเนื้อเพื่อเตรียมตัวก่อนการออกกำลังกายจริง ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที - การออกกำลังกาย มุ่งเน้นการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ เช่น แขน ขา หน้าท้อง ใช้เวลาประมาณ 30 นาที พยายามออกกำลังกายให้ได้ประมาณ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ บางครั้งใช้อัตราการเต้นของหัวใจช่วยในการประเมินความหนักเบาในการออกกำลังกาย โดยอาจจะใช้ (220 - อายุ) x 70% นั่นคือ อายุ 40 ปี ควรออกกำลังกายให้หัวใจเต้นขณะที่ออกกำลังกายเท่ากับ (220 - 40) x 70% หรือ 126 ครั้งต่อนาที 2. ระยะผ่อนคลาย เป็นการเตรียมกล้ามเนื้อ และการปรับหัวใจก่อนที่จะพัก เพื่อลดอาการปวดกล้ามเนื้อและการเป็นตะคริว ใช้เวลาประมาณ 10 นาที โดยเป็นการออกกำลังกายเช่นเดียวกับช่วงอุ่นเครื่อง - การฝึกการหายใจ - การฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เทคนิคนี้เป็นการผสมผสานการฝึกการหายใจร่วมกับการจินตนาการ และการคลายกล้ามเนื้อ โดยเริ่มจากการอยู่ในท่าที่ผ่อนคลายที่สุด อาจจะเป็นการนอนหงาย จินตนาการว่าอยู่ในสถานที่ที่ผ่อนคลาย เช่น ชายทะเล หรือน้ำตก ฯลฯ หลังจากนั้นหายใจเข้าออกลึกๆ ช้าๆ และค่อยๆ บอกตัวเองให้มีการผ่อนคลายทีละส่วนของร่างกาย โดยเริ่มจากปลายเท้า เท้า แข้ง ต้นขา ลำตัว จนมาถึงศีรษะ พร้อมกับการหายฝจออกช้าๆ จากเทคนิคการผ่อนคลายความเครียดด้ายกายภาพ และการใช้เทคนิคทางจิตวิทยาเข้าช่วยแล้วนั้น เรายังสามารถผสมผสานเทคนิคต่างๆ เหล่านี้ไปใช้ในแต่ละสถานการณ์ได้อีกด้วย เช่น ในสำนักงาน การลดความเครียด เราอาจจะทำได้โดยการ - กระจายงาน เพราะการกระจายงานนั้นจะช่วยลดเวลาในการทำงานของคุณเองได้เป็นอย่างดี เลือกทำงานที่คุณจำเป็นต้องทำจริงๆ และแบ่งงานบางส่วนให้ผู้ร่วมงานช่วยบ้าง อย่าพยายามทำตนเป็นพระเอกแต่เพียงผู้เดียว - พยายามติดต่อประสานงานกันให้มากที่สุด งานต่างๆ จะลุล่วงโดยง่าย หากมีการติดต่อสัมพันธ์พูดคุยกันตลอดจนมีการประสานงาน แบางงานและร่วมมือกัน - การพยายามยอมรับการปรับเปลี่ยนตารางเวลาการทำงาน และควรมีเครื่องมือที่พร้อมทำงานที่บ้านได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาคุณได้อีกมากในการเดินทาง ที่สำคัญอย่างพยายามนัดให้มีนัดหมายสำคัญติดกันมากเกินไป จะมีผลต่อความเครียด และคุณจะควบคุมได้ยาก ในบ้าน การลดความเครียด เราอาจจะทำได้โดย - การสื่อสารกับคนในบ้าน ว่าคุณต้องการอะไร การสื่อสารนี้รวมทั้งครอบครัว เพื่อน ฯลฯ บอกในสิ่งที่คุณชอบและไม่ชอบ ไม่เป็นการสนุกในการที่จะเดาใจทั้งเขาและเรา และทำใจให้ยอมรับว่าการบอกนี้ไม่ใช่เพียงครั้งเดียว เพราะทั้งเขาและเราก็อาจจะลืมกันได้ - การปฏิเสธไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายที่สุด การปฏิเสธในสิ่งที่คุณไม่อยากทำหรือไม่พร้อมที่จะทำ ย่อมดีกว่าการที่คุณฝืนใจทำและทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัวในที่สุด แต่บางครั้งและบางสิ่งคุณก็ยากที่จะปฏิเสธ ชีวิตก็อย่างนี้แหละก็ต้องฝืนใจทำกันบ้าง - หาเวลาให้รางวัลกับตนเองบ้าง การหาความสนุกสนานบ้างไม่ใช่สิ่งที่ผิด เรื่องสนุกไม่ได้เหมาะกับเด็กเท่านั้น ผู้ใหญ่เองก็ต้องการความสนุกสนานเช่นกัน การทำสวนครัว การเล่นกีฬา ฯลฯ เลือกกิจกรรมที่เหมาะกับเราเอง - การหากัลยาณมิตรไว้บ้างก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยคนเราควรจะมีใครที่เราพุดคุยได้ด้วย อาจจะไม่ครบทุกเรื่อง แต่บางคนจะคุยในบางเรื่อง การมีหลายคนก็อาจจะทำให้คุณได้คุยครบทุกเรื่อง - การฝึกลมหายใจในแต่ละวัน โดยเฉพาะช่วงเช้าก่อนเข้าทำงานและตอนเย็นก่อนนอน ก็จะช่วยให้คุณคลายเครียดลงได้เยอะ และพร้อมที่จะหลับได้ง่ายขึ้น ้เราลองมาฝึกกันดู จะเลือกใช้วิธีใดก็ได้ ฝึกให้ชำนาญ และหลังจากนี้เราจะเป็นคนที่ทนต่อความเครียดได้มากกว่าปกติ และที่สำคัญคุณภาพชีวิตของเรา และผู้ใกล้ชิดเราควรจะดีขึ้น โดย นพ.พงษ์เกียรติ ประชาธำรงค์